แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ เทคนิคการเทรดให้ได้กำไร แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ เทคนิคการเทรดให้ได้กำไร แสดงบทความทั้งหมด

วันพุธที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2560

กฎ 25 ข้อ ของการลงทุนในหุ้น

กฎ 25 ข้อ ของการลงทุนในหุ้น

โดย ปีเตอร์ ลินช์ (Peter Lynch)

  • 1. การลงทุนเป็นเรื่องที่สนุก ตื่นเต้น (โดยเฉพาะเวลากำไร) แต่ก็เป็นเรื่องที่อันตรายมากหากลงทุนแล้วคุณไม่ทำอะไรเลย ไม่ได้ตามข่าวสาร ไม่ได้ศึกษาตัวบริษัท ไม่ได้มานั่งเปรียบเทียบกองทุน ทำเพียงแค่ “ซื้อ … เพราะราคามันขึ้น” แบบนี้การลงทุนนั้นก็พร้อมจะ “ปล้น” เงินของคุณไปทันที
  • 2. แค่คุณลงทุนในบริษัทที่คุณรู้จักและเข้าใจเป็นอย่างดี คุณก็สามารถชนะบรรดากูรู และตลาดหุ้นได้อย่างง่ายดาย
  • 3. คุณสามารถเอาชนะตลาดหุ้นได้ง่าย ๆ เพียงแค่อยู่ห่าง ๆ จากฝูงชน เพราะการอยู่ท่ามกลางความเห็นของคนหลาย ๆ คน คุณอาจสูญเสียความเป็นตัวตน และทำอะไรที่มันดูไร้เหตุผลไปในที่สุด
  • 4. เบื้องหลังหุ้นทุกตัวคือบริษัท และทุกบริษัททำธุรกิจ … คุณแค่ต้องไปดูว่าเขาทำมาหากินยังไง ได้เงินมาจากไหน อะไรคือว่าเสี่ยง และอะไรที่จะทำให้บริษัทนั้นเติบโต
  • 5. ราคาหุ้น จะขึ้นตามกำไรของบริษัท แม้จะมีหลายครั้งที่กำไรเติบโตสวนทางกับราคา แต่เชื่อเถอะ…ถ้ากำไรมันโตจริง ๆ สุดท้ายยังไงราคาก็ต้องขึ้น
  • 6. คุณต้องรู้ว่าคุณซื้อหุ้นอะไร เพราะอะไร ทำไมถึงซื้อ ไม่ใช่ซื้อแค่เพราะคิดว่ามันกำลังจะขึ้น
  • 7. บริษัทที่กำลังจะมีปัญหา มักจะเริ่มด้วยคำว่า “ผิดคาด”
  • 8. หุ้นในพอร์ต ก็เหมือนลูก … มีเยอะไปก็ไม่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักลงทุนมือใหม่ ที่ควรมีหุ้นอยู่ในพอร์ตซัก 5 บริษัทก็พอ เพราะคุณจะได้มีเวลาติดตามความเปลี่ยนแปลงของมัน
  • 9. ถ้าเลือกหุ้นดี ๆ ที่ถูกใจไม่ได้ ก็จงฝากเงินไว้ในแบงค์ (กรุงเทพ … อันนี้ผมเติมเอง 555+)
  • 10. อย่าลงทุนถ้ายังไม่ได้ดูงบ เพราะหลายครั้งเรามักจะขาดทุนหนัก ๆ กับบริษัทที่มีงบการเงินไม่แข็งแกร่ง เพราะฉะนั้นอย่าลืมตรวจงบการเงิน ก่อนที่คุณจะเอาเงินที่หามาได้จากน้ำพักน้ำแรงของคุณไปเสี่ยงกับมัน
  • 11. หนีให้ห่างจากหุ้นร้อน ที่ในอุตสาหกรรมที่ร้อนแรง และบริษัทยอดเยี่ยมในอุตสาหกรรมยอดแย่ มักเป็นบริษัทที่สร้างผลตอบแทนได้ดีเสมอ
  • 12. ถ้าอยากซื้อหุ้นเล็ก … รอให้มันมีกำไรก่อน
  • 13. ถ้าคุณกำลังจะซื้อในอุตสาหกรรมที่มีปัญหา … จงซื้อหุ้นที่มีความสามารถในการอยู่รอด และควรจะรอให้อุตสาหกรรมมีสัญญาณในการฟื้นตัวก่อน
  • 14. ถ้าซื้อหุ้น 1,000 บาท โอกาสขาดทุนคือ 1,000 บาท แต่โอกาสที่จะทำกำไรเป็น 10,000 บาท 50,000 บาทได้ หากคุณอดทน และให้เวลากับมันพอ
  • 15. นักลงทุนรายย่อย … มักจะหาหุ้นชั้นยอด … ได้ก่อนนักลงทุนชั้นเยี่ยม หรือบรรดากูรูต่าง ๆ เสมอ และมันไม่ได้เป็นแบบนี้เฉพาะกับตลาดหุ้นสหรัฐฯ แต่มันเกิดขึ้นกับทุกตลาด…ทั่วโลก!
  • 16. เหตุการณ์หุ้นตกหนัก … เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นประจำไม่ต่างจากฝนเดือนตุลา หากคุณเตรียมพร้อมไว้ มันก็จะไม่สามารถทำอะไรคุณได้ กลับกันมันเป็นโอกาสในการลงทุนสำหรับคนที่เข้าใจและพร้อมเสมอ (อันนี้ผมดัดแปลงจากต้นฉบับ ที่ยกตัวอย่างเหตุการณ์พายุเฮอริเคนมานะครับ)
  • 17. ไม่ว่าใครก็สามารถมีความรู้พอที่จะทำกำไรในหุ้น … แต่น้อยคนนักที่จะมีอารมณ์มั่นคงพอที่จะไม่ตื่นตระหนก และหากคุณรู้ตัวว่าคุณเป็นนักลงทุนประเภทเมื่อเจอข่าวร้ายจะรีบแห่ขายทุกอย่างออกจากพอร์ต … เลิกเล่นหุ้นละมาซื้อกองทุนซะ
  • 18. มันมักจะมีเรื่องให้เราได้ตื่นตระหนกเสมอ … จงขายหุ้นแค่เพราะเวลาที่พื้นฐานมันเปลี่ยน หรือขายตอนที่บริษัทเริ่มจะถอยหลังลงคลอง ไม่ใช่ขายเพราะว่าหุ้นทั้งตลาดกำลังถล่มลงมา
  • 19. ไม่มีใครที่จะคาดการณ์สิ่งต่าง ๆ ในตลาดหุ้นได้ถูกหมด … หยุดฟังคนอื่น และเริ่มเชื่อตัวเอง จากนั้นก็เดินหน้าศึกษาบริษัทที่เราสนใจ
  • 20. หุ้นดี ๆ มีอยู่เสมอ … คุณแค่ต้องหามันให้พบ
  • 21. ถ้าซื้อหุ้นโดยไม่ศึกษาอะไรเลย … มันก็ไม่ต่างจากคนเล่นไพ่ที่ไม่ได้ดูไพ่
  • 22. เวลาคือเพื่อนที่ดีที่สุดของคุณ พยายามลงทุนเพื่อระยะยาวไว้
  • 23. ถ้าคุณอยู่ในสภาวะอารมณ์ไม่มั่นคง อย่าซื้อหุ้น แต่จงซื้อกองทุนที่เขาเลือกหุ้นให้แล้ว
  • 24. ตลาดหุ้นในประเทศ ไม่ได้สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีได้ตลอดทุกปี คุณควรหาโอกาสในการไปลงทุนยังต่างประเทศ ผ่านกองทุนรวม และกระจายความเสี่ยงไว้บ้าง
  • 25. ในระยะยาวแล้ว หุ้นสร้างผลตอบแทนได้ดีที่สุด แต่ถ้าหลับหูหลับตาเลือกหุ้น บางทีการเอาเงินใส่ไว้ใต้หมอนอาจจะดีกว่าด้วยซ้ำ
( Cr. ปริพรรห์ ปริยอุดมทรัพย์ AFPT™ , นักวางแผนการลงทุน )
read more...

วันเสาร์ที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2559

เทรดอย่างไรให้ได้เงิน

 กฎการเทรดให้ได้เงิน 

  • อย่าเทรดตามอารมณ์ จงควบคุม ความโลภ ความกลัว ความอิจฉา และความโกรธของคุณ 

  • อย่าเดา โยนความคิดที่ว่า "มันน่าจะขึ้น " , "มันคงจะลงแล้วล่ะ" ของคุณทิ้งไปซะ ถ้ามันไม่ได้รับการยืนยันจากสัญญาณอื่น ๆ เช่น กราฟ เครื่องมือ ซิกแนล หรือข่าว 

  • อย่าใจร้อน ในบางจังหวะ ราคาอาจจะแกว่งตัวขึ้นลงอย่างรวดเร็ว บางคนจะเปิดทันทีเมื่อเห็นแบบนั้นโดยไม่วิเคราะห์ให้ดีก่อน ซึ่งผลที่ได้คือ ติดดอย รึไม่ก็บวกนิดหน่อย จำไว้ว่า  ถ้าไม่ชัวร์อย่าเปิดการซื้อขายเด็ดขาด 

  • อย่าเล่นตามน้ำ กรณีนี้ดีกว่าเดานิดหน่อย การวิเคราะห์แค่ว่า "มันกำลังอยู่ในเทรนขึ้นนี่ เล่น long ดีกว่า"  ไม่ทำให้คุณรวยได้หรอกครับ 

  • อย่าเปิดการเทรดตลอดเวลา ไม่จำเป็นต้องทำให้ positions ของคุณมีการเทรดอยู่ตลอดเวลา ผมเคยเจอพวกที่เมื่อปิดการซื้อขายตัวไหนแล้วจะเปิดด้านตรงข้ามทันที ห้ามทำแบบนั้นเด็ดขาด!!  ถูกทางไม่พอต้องถูกจังหวะด้วย 

  • อย่าถือตัวที่เคลื่อนไหวตรงข้ามกับเทรนทิ้งไว้เด็ดขาด!! อันนี้ผมพบบ่อยมาก หลายคนชอบถือตัวที่ติดลบทิ้งไว้แล้วบอกว่า "เดี๋ยวมันก็ขึ้น" เชื่อเถอะครับ ปิดไปแล้วซื้อใหม่ตอนมันกำลังขึ้นดีกว่า ผมเคยเห็นคนเจ๊งเพราะการทำแบบนี้ต่อหน้าต่อตามาแล้ว นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จจะมีขีดจำกัดการเสีย อยู่ที่ประมาณ 2% ของมาร์จินทั้งหมดและเค้าจะปิดการซื้อขายทันทีเมื่อเสียถึงจุดจุดนั้น 

  • อย่าใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคเพียงอย่าเดียว ให้ดูข่าวด้วย ในจังหวะที่ข่าวออก การวิเคราะห์ทางเทคนิคแทบจะช่วยอะไรไม่ได้เลย มันจะวิ่งตามข่าวจนกว่าแรงของข่าวจะหมด ในทางกลับกันเครื่องมือดีๆ ก็ช่วยคุณได้เยอะเช่นกัน 

  • อย่าหวังแต่จะพึ่งคนอื่น จงวิเคราะห์ด้วยตัวเองควบคู่ไปด้วยโดยเฉพาะ signal น่ะตัวดีเลย 

  • ไม่มีเงินให้คนขี้เกียจและคนโง่ จงหาความรู้ทุกวิถีทาง ถ้าคุณอยากได้เงินคุณต้องพยายามฝึกฝนตัวเอง และศึกษาหาความรู้ จำไว้ ไม่มีของฟรีในโลก 

  • อย่าเล่นเงินจริงถ้ายังไม่โปร ให้ซ้อมกับเงินปลอมไปก่อน จนกว่าคุณจะเทรดได้กำไรเป็นเรื่องปกติ 

  • จงทำบันทึกการเทรด เขียนลงไปว่าเปิดตัวไหนเพราะอะไร ปิดตัวไหนเพราะอะไร ผลเป็นอย่าไร เสร็จแล้วให้นั่งอ่านวิเคราะห์ทุกวัน วิเคราะห์ว่าวันนี้การเทรดของเราเป็นอย่างไรบ้าง ถ้าใครไม่เข้าใจตรงไหนก็โพสถามพวกผมได้ครับ 

  • จงแก้ไขแนวคิดพิ้นฐานใหม่ซะ!! ไปหาหนังสือแนวนี้มาอ่านซะ ผมแนะนำ  ไขความลับสมองเงินล้าน  

  • ต้องมีแผนการเทรด 

  • อย่าเปิดการเทรดค้างไว้แล้วลุกออกจากคอมนาน ๆ โดยไม่ตั้ง Stop loss หรือ Exit target ผมเข้าใจว่าหลายคนต้องเคยมีปัญหากับเจ้าสองตัวนี้ แต่นั่นเป็นเพราะคุณตั้งมันไม่เป็นน่ะสิ คุณควรตั้งโดยอาศัยแนวรับแนวต้านของฟิโบเน็กซี่ หรือแนวรับแนวต้านแบบง่าย ๆ ก็ได้ ตั้งขายเมื่อเข้าใกล้เส้นแนวรับแนวต้านที่เราคาดหวังว่าจะไปถึง และขายเมื่อทะลุเส้นแนวรับแนวต้านในฝังตรงข้ามลงไปซักหน่อย หรือคุณอาจจะมีเทคนิคอื่น ๆ ก็ได้ ทางที่ดีที่สุดคือปิดไปก่อนทำอย่างอื่น 

  • อย่าเปิดการเทรดในช่วง sideway เพราะคุณไม่มีทางรู้เลยว่ามันจะขึ้นหรือลง และยังต้องมานั่งกลุ้มใจกับการที่มันไม่ยอมขยับไปไหนอีกด้วย 

  • อย่าเสี่ยง นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้นักลงทุนแตกต่างจากนักพนัน จงพยายามลดความเสี่ยงให้ได้มากที่สุด และอย่าเปิดการซื้อขายหากความน่าจะเป็นที่จะได้กำไรไม่ถึง 90% 

  • อย่าเปิดการซื้อขายพร้อมกันหลายตัว ผมไม่เข้าใจว่าทำไมคนถึงชอบเปิดการซื้อขายหลายตัว ถ้าคุณเปิดการซื้อขาย 2 ตัวตัวล่ะ 100 ดอล คุณก็จะได้กำไรหรือขาดทุนเท่าๆกับการที่คุณเปิด การซื้อขาย 200 ดอล ตัวเดียว แต่ที่สำคัญคือ การเปิดการซื้อขายหลาย ๆ ตัวพร้อม ๆ กัน ...

  • ไปนั่งท่องกฎการเทรดมาให้ขึ้นใจซะ แล้วก็พิมพ์หัวข้อมันออกมาตัวใหญ่ๆ ติดไว้หน้าคอม 

Cr. http://ptc.icphysics.com/webboard/SFM/index.php


read more...

วันอาทิตย์ที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2559

ปล่อยวาง กับการเทรด

"แก่น" ของการเทรดมันง่ายมากคือ "เทรดตามTrend"

💠 Primary Trend
💠 Secondary Trend
💠 Minute Trend

มองกราฟแล้วต้องบอกได้ว่าจุดที่เรายืนอยู่คือตรงไหนของ Trend "ไม่เทรดสวนTrend" นี่คือที่สุดของที่สุด วิชาอื่นๆ แค่ช่วยให้วางแผนได้ดีขึ้น แต่มันแค่ส่วนประกอบ อย่ามองว่ามันคือจุดสุดยอดอะไร เข้าใจนะ...

✅ บอกอารมณ์ของนักเทรดคนอื่นๆที่เราไม่เห็นหน้าด้วยแท่งเทียน
✅ บอกความบ้าพลังของหุ้นตัวนั้นๆ ด้วย Volume
✅ บอกต้นทุนของคนที่เทรดมาก่อนด้วย MA
✅ ใช้ Fibonacci บอก Zone ที่น่าซื้อหรือขายทำกำไร
✅ ใช้ Wave บอกความแรงความยาวของการขึ้นลง
✅ นำสัญญาณขัดแย้ง/สัญญาณเห็นชอบ ของ Indi มาช่วยตัดสินใจซื้อขาย
✅ จัดการ Port ใหญ่ของการลงทุนด้วย Asset Allocation
✅ จัดการ Port หุ้นด้วย Money Management ที่ดี
✅ จัดการจิตใจด้วยการ "ปล่อยวาง"
✅ "แพ้ให้เป็น เย็นให้ได้ กำไรแค่อมยิ้มก็พอ"

ข้อเสียที่ผมเคยเป็นแต่เลิกแล้วคือ
กระต่ายตื่นตูม หุ้นวิ่ง ซื้อเลย กราฟไม่ดู
หุ้นขาดทุนใจสั่นขายเลย กำไรนิดๆขาย กลัวไม่ได้กำไร
ใครว่าดี ซื้อ นักวิแคะบอกดี ซื้อ
คิดว่า Indi คือที่สุด ไม่ดู Trend

ผมเคยเป็นมาหมด แต่แก้ได้ด้วย "อ่านหนังสือ ดู YouTube " แหล่งเรียนรู้เต็มไปหมด บางทีได้ Trick ใหม่ๆมาช่วยเทรดด้วยนะ


หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆ นักลงทุนทุกคนนะคะ
Cr. ผ่าตัดหุ้น

read more...

วันจันทร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

5 นิสัย(เสีย) ของเทรดเดอร์มือใหม่

5 นิสัยเสียของเทรดเดอร์มือใหม่ที่ทำให้ขาดทุน แล้วจะแก้ไขมันอย่างไร ?


มือใหม่ในการเทรดหรือมือเก๋าที่ยังไม่ไปไหน มักมีนิสัยที่คล้าย ๆ กัน ซึ่งไม่เป็นผลดีกับการเทรดเลย ได้แก่

  • 1.คิดถึงฝันหวานแต่ตอนได้กำไร แน่นอนล่ะการเทรดเราต้องคิดถึงการได้กำไรอยู่แล้ว ใครมันจะอยากขาดทุน แต่ก็นั่นแหละพอคิดแต่ว่าจะได้กำไร ก็จะไม่สนใจความเสี่ยงเลย ใช้อัตราทดสูง ๆ เทรดบ่อย ๆ Overtrade ไง ซึ่งไม่ดีแน่ ทางที่ดีก่อนจะคิดถึงกำไร ให้คิดถึงการรักษาเงินทุนเสียก่อนจะแก้สันดานนี้ได้ คำถามแรกที่ต้องถามคือถ้าเสียจะขาดทุนเท่าไหร่?
  • 2. มองระยะสั้น ๆ เช่น ฉันเดย์เทรดได้กำไรวันละ 5,000 บาท ดังนั้นจึงมโนว่า 1 เดือนจะได้ = 200,000 บาท ( 5,000 x 20วัน) แต่จริง ๆ ชีวิตไม่ได้ง่ายขนาดนั้น แกไม่ได้กำไรทุกวันแน่ ๆ ทางที่ดีมองระยะยาวนิดนึง เอาเป็นว่าเดือนนึง หรือ ปีนึงเลยจะดีกว่า และอย่าใช้วิธีเทียบบัญญัติไตรยางค์ การเทรดไม่ใช่กราฟเส้นตรงเป๊ะ มีเดือนที่ได้ มีเดือนที่เสีย มีตอนที่กำไรติด ๆ กัน และ ก็มีตอนที่เสียหลาย ๆ ไม้ติดกัน
  • 3.ชอบลอกการบ้าน พึ่งพาข่าววงใน หา Signal จากนักวิเคราะห์ กูรู เวลาเขาให้ถูกก็ดีไป เวลาเสียเขาไม่ต้องรับผิดชอบอะไรนะจะบอกให้ (จริง ๆ ก็ไปโทษพวกนี้ไม่ได้หรอก ต้องโทษตัวเอง) ที่แย่กว่านั้นนอกจากลอกคนเก่ง ๆ ดันไปลอกคนไม่เก่งอีก เช่น เพื่อนที่เม้ามอยในห้อง Line ต่าง ๆ ที่จริง ๆ แล้วก็ไม่ได้มีข้อมูลดีกว่า หรือ เทรดเป็นเทรดเก่งกว่าคุณหรอก เอางี้ลองศึกษาเองดีกว่าหายใจเองคล่องกว่าเยอะ
  • 4.ไม่ทำตามแผน อุตส่าห์วางแผนอย่างดิบดี พอราคาถึง Stop loss รับไม่ได้ ไม่ยอมขายซะงั้น อยากลุ้นอีกหน่อย เลื่อน Stop ลงไปอีกนิด จะบอกให้ว่านี่คือจุดเริ่มต้นของความหายนะครับ ในทางกลับกันพอราคาถึงเป้าหมายกำไรแล้วยังจะโลภ เอาอีกหน่อยนะ ลุ้นอีกนิดอันนี้ไม่ถึงกับหายนะ แต่ก็มีโอกาสคืนกำไรเหมือนกัน แนะนำให้ไม่ทำก็แล้วกัน 
  • 5.เทรดสวนแนวโน้ม จะพยายามอย่างมากในการจับจุดสูงสุด ต่ำสุดให้ได้ แล้วก็เทรดตรงข้ามกับเทรนด์ ถ้าแม่นยำจริงก็เหมือนถูกหวยเลยละ แต่โอกาสที่จะถูกต้องมีน้อยกว่าการเล่นไปตามแนวโน้มขัวร์ ๆ มือใหม่ต้องไปฝึกการดูแนวโน้มให้เป็น รับรองว่าได้ใช้ประโยชน์อย่างคุ้มค่า
Cr. Graph Technics
read more...

วันอาทิตย์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

Swing Trading


Swing Trading คืออะไร

เป็นแนวทางการเทรดรูปแบบหนึ่ง ซึ่งเก็งกำไรไปตามแรงเหวี่ยงของราคา หรือจะเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า Momentum Trading ก็ได้ โดยจะพยายามเข้าซื้อหุ้นและขายออกที่จุดกลับตัวของราคา ระยะเวลาในการถือหุ้นของ Swing Trading จะมีตั้งแต่ระยะสั้นไปถึงกลาง คือ อาจจะจบในวันหรือถือยาวไปหลายเดือน ขึ้นอยู่กับว่าเราจะเทรดที่กรอบเวลาไหน

ทักษะที่จำเป็น

1. การแยกสภาวะตลาด
คนเทรดหุ้นแนวทางนี้ต้องรู้จักแยกสภาวะตลาดให้ออกว่าอยู่ในสภาวะไหน ซึ่งถ้าตลาดอยู่ในสภาวะที่ไม่ควรเล่น เทรดเดอร์ก็จะไม่เทรด และรอจังหวะที่เหมาะแก่การเทรดเท่านั้น ซึ่งจะแบ่งเป็น 4 สภาวะ ได้แก่ ช่วงสะสมราคา, ช่วงไล่ราคา, ช่วงกระจายหุ้นและช่วงขาลง
2. สามารถอ่านการเคลื่อนไหวของราคาได้
หนึ่งในทักษะที่สำคัญของ Swing Trading ก็คือ การอ่านรูปแบบการเคลื่อนไหวของราคา (Price Action) หรือรูปแบบการกราฟ (Chart Pattern) ชนิดต่าง ๆ ให้เชี่ยวชาญ เนื่องจากเป็นตัวกำหนดจุดเข้าและออกของการเทรด รวมถึงจุดตัดขาดทุนอีกด้วย
3. มีความรู้ในเรื่องของ Money Management
เป็นทักษะที่ขาดไม่ได้สำหรับเทรดเดอร์ ซึ่งเป็นความรู้เกี่ยวกับการบริหารจัดการเงินทุนที่เรามี เช่น การวางจุดตัดขาดทุน, จำนวนหุ้นที่ถือ, เทคนิคการทยอยเข้าซื้อหรือทยอยขายหุ้น รวมถึงสัดส่วนการวางเงินที่จะซื้อหุ้น เป็นต้น เป็นทักษะที่วัดความอยู่รอดของเทรดเดอร์เลยทีเดียว
4. ทักษะในการควบคุมจิตใจ
ทักษะนี้สำคัญมากที่สุดและฝึกยากที่สุด เนื่องจากการเทรดเราจะต้องเจอความผันผวนของตลาดซึ่งจะกระทบกับอารมณ์ของเราโดยตรง และทำให้การตัดสินใจวางแผนผิดพลาด นำไปสู่การตัดสินใจที่ผิดได้ ทักษะนี้ต้องอาศัยการฝึกฝนที่ถูกต้องและต่อเนื่อง

ข้อดีข้อเสีย

ข้อดีของแนวทางนี้ก็คือ การควบคุมความเสี่ยงได้ดีเนื่องจากไม่ต้องทนถือหุ้นช่วงขาลง และมีความยืดหยุ่นสูงเนื่องจากสามารถเล่นได้ทั้งขาขึ้นและขาลง ส่วนข้อเสียก็คือ ต้องใช้เวลาในการบริหารพอร์ตค่อนข้างเยอะ และต้องคอยตรวจสอบหุ้นในพอร์ตเป็นระยะ ยิ่งเทรดกรอบเวลาที่สั้นยิ่งต้องติดตามเฝ้าดูหุ้นบ่อยขึ้น

สรุปส่งท้าย

แนวทางนี้คนที่ทำงานประจำก็สามารถศึกษาและเทรดได้ โดยอาจจะเทรดในกรอบเวลารายวัน เนื่องจากไม่ต้องติดตามหุ้นบ่อยเกินไปอาจจะวันละ 1-2 ครั้ง ก่อนตลาดเปิดและตลาดปิด ทำให้ไม่กระทบเวลาทำงาน ส่วนคนที่เป็นเทรดเดอร์เต็มเวลาก็อาจจะเล่นกรอบเวลาสั้นลงได้ เนื่องจากมีเวลาเฝ้าติดตามเต็มที่ แนวทางนี้ค่อนข้างยืดหยุ่นและบริหารความเสี่ยงได้ดี

Cr. http://supertraderclub.com/

read more...

วันอาทิตย์ที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

Economic Calendar (ปฏิทินเศรษฐกิจ)

Economic Calendar 

ความสำคัญของปฏิทินเศรษฐกิจ



Business Inventories
เป็นข้อมูลเกี่ยวกับการขายและสินค้าคงคลังจากภาคการผลิต การค้าส่ง และการค้าปลีก ตัวเลขที่สูงขึ้นของ Business Inventory หมายถึงสภาวะเศรษฐกิจที่ดี

Consumer Price Index หรือ CPI
CPI จะเป็นตัววัดเกี่ยวกับระดับราคาของสินค้าและบริการที่ซื้อโดยผู้บริโภค CPI ที่เห็นประกาศกันจะมี CPI กับ Core CPI ซึ่งต่างกันตรงที่ว่า Core CPI จะไม่รวมภาคอาหารและ ภาคพลังงานโดยปกติ CPI จะเป็นตัวที่บ่งบอกถึงอัตราเงินเฟ้อ โดยตัวเลข CPI ที่สูงจะเป็นตัววัดเรื่องอัตราเงินเฟ้อที่สูง จะนำไปสู่การขึ้นอัตราดอกเบี้ยหรือลดอัตราดอกเบี้ยได้

Current Account Balance 
จะบอกถึงความแตกต่างของเงินสำรอง และการลงทุน ตัวนี้เป็นตัวสำคัญในส่วนของการซื้อขายกับต่างประเทศ ถ้า Current Account Balance เป็น + จะหมายถึงเงินออมในประเทศมีสูง แต่ถ้าเป็น - จะหมายถึงการลงทุนภายในประเทศเป็นเงินจากต่างประเทศมาลงทุน ถ้า Current Account Balance เป็น + ส่งผลให้เศรษฐกิจดีขึ้น Consumer Confidence เป็น การสำรวจในแต่ละครัวเรือน โดยตัวเลขตัวนี้จะมีความสัมพันธ์กับเรื่องของ การว่างงาน อัตราเงินเฟ้อ และรายได้ที่แท้จริง การที่ตัวเลขมีค่าที่เพิ่มมากขึ้นหมายถึงเศรษฐกิจที่ดีขึ้น

Durable Goods Orders 
จะเป็นตัววัดปริมาณของการสั่งสินค้า การส่งสินค้า โดยจะเป็นตัววัดถึงภาคการผลิต ซึ่งหากว่าเศรษฐกิจมีปัญหาจะส่งผลให้ปริมาณการสั่งสินค้าลดลง ตัวนี้จะเป็นเหมือนตัวบอกถึง GDP และ PDE การที่ตัวเลข Durable Goods Orders มีค่าที่มากขึ้น จะบ่งบอกถึงเศรษฐกิจที่ดีขึ้น Euro-Zone ZEW ,German ZEW Indicator of Economic Sentiment ตัวชี้วัดความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ ประเมินความคาดหวังทางเศรษฐกิจในอนาคตทั้ง Euro-zone ผลสรุปเป็นตัวเลขของการตอบสนองเชิงบวก ลบ ตัวเลขเพิ่มขึ้นเศรษฐกิจก็ดีขึ้น

Federal Open Market Committee หรือ FOMC 
จะประชุมเมื่อไร ไม่มีตายตัวแน่นอนแล้วแต่เค้าจะนัดกัน โดยการประชุมจะดูภาพรวม และผลของการประชุมที่สนใจกันคือเรื่องของอัตราดอกเบี้ย การปรับอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงมีผลทำให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้นหรือลดลงได้ Factory Orders เป็นการวัดการสั่งสินค้าทั้งหมด การสั่งสินค้าที่สูง หมายถึง demand ที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะเกิดขึ้นหลังจากเศรษฐกิจที่ดีขึ้น

Gross Domestic Product หรือ GDP 
GDP คือตัววัดที่กว้างที่สุดเกี่ยวกับความเคลื่อนไหวของเศรษฐกิจ การที่ตัวเลข GDP เปลี่ยนแปลงไปจะหมายถึง ความเปลี่ยนแปลงของอัตราการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจ ซึ่งจะบ่งบอกเกี่ยวพันถึงอัตราเงินเฟ้อ  การที่ตัวเลข GDP เพิ่มขึ้นจะทำให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้นตามไปด้วย

IFO Business Indexes 
เป็นผลสำรวจความเชื่อมั่นทางธุรกิจ ซึ่งเป็นตัวที่ดูเกี่ยวกับภาคธุรกิจของประเทศเยอรมัน ตัวเลขที่สูง หมายถึงเศรษฐกิจที่ดีขึ้น

Initial Weekly Jobless Claims 
ประกาศ ทุกวันพฤหัส จะเป็นข้อมูลของสัปดาห์ปัจจุบันรวมถึงวันศุกร์ที่แล้วด้วย ซึ่งจะบอกถึงการว่างงาน โดยปกติจะสังเกตความเปลี่ยนแปลงได้จากข้อมูลก่อนหน้าย้อนหลังไปราว ๆ 4 สัปดาห์ แล้วมาทำเป็นกราฟ ทั่วไปแล้วหากมีความเปลี่ยนแปลงเกิน 30,000 จะเป็นสัญญาณบอกถึงการจ้างงานที่เปลี่ยนแปลงไป (อาจจะดีขึ้นหรือแย่ลง) ตัวเลขที่เพิ่มมากขึ้นหมายถึงคนว่างงานที่มากขึ้น

Institute of Supply Management หรือ ISM
ตัวนี้จะเป็นตัวที่บ่งบอกถึงภาคการผลิต ซึ่งรวบรวมข้อมูลอย่างกว้างขวางเกี่ยวกับ การสั่งซื้อสินค้าใหม่, การผลิต, การจ้างงาน, สินค้าคงคลัง, เวลาในการขนส่ง, ราคา, การส่งออก และการนำเข้า การที่ตัวเลข ISM มีตัวเลขที่เพิ่มขึ้นจะแสดงถึงเศรษฐกิจที่ดี 

ISM Service Index หรือ Non-Manufacturing ISM
ซึ่งเป็นการสำรวจของกลุ่ม การเงิน, ประกันภัย, อสังหาริมทรัพย์, สื่อสาร และ ทั่วไป การที่ตัวเลข ISM เพิ่มขึ้นหมายถึง demand ที่เพิ่มขึ้น

Industrial Production
ซึ่งเป็นตัววัดว่าการผลิตของอุตสาหกรรมได้ผลออกมาจริง ๆ เท่าไร การที่ตัวเลขออกมาสูงขึ้นหมายถึง demand ที่เพิ่มขึ้น

Leading Indicators 
เป็นดัชนีเพื่อการพยากรณ์แนวโน้มของเศรษฐกิจโดยรวมซึ่งเป็นบทสรุปของตัวเลขเศรษฐกิจที่ประกาศไปก่อนหน้านี้ ประกอบไปด้วย New Order, Jobless Claim, Money Supply, Average Workweek, Building Permits และ Stock Prices

Non farm Payrolls
ตัวเลขนี้จะประกาศทุกวันศุกร์แรกของเดือน เป็นตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตรเป็นตัวเลขที่ทุกคนจับตาดูมากที่สุด ในสถานการณ์การจ้างงาน ถ้ามีการจ้างงานเพิ่มขึ้น เศรษฐกิจก็จะดีขึ้น 

Non-Farm Productivity 
เป็น ตัววัดของผลงานของคนงาน และ ต้นทุนในการผลิตของสินค้า ในสถาวะที่เงินเฟ้อ มีความสำคัญตัวเลขนี้สามารถที่จะทำให้ตลาดเคลื่อนไหวได้ โดยถ้าตัวเลขที่ลดลง สามารถบอกถึงอนาคตที่เปลี่ยนไป เช่นตัวเลข GDP ที่ดี แต่ถ้าตัวเลขนี้ขัดกันก็สามารถทำให้ตลาดมีผลกระทบได้ การที่ตัวเลข Non-Farm Productivity เพิ่มขึ้น หมายถึง การยืนยันในเรื่องของพื้นฐานของเศรษฐกิจที่ดี

NY Empire State Index
โดยเป็นการสำรวจจากผู้ผลิต หากตัวเลขมีค่ามากขึ้น จะทำให้เศรษฐกิจดีขึ้น

Producer Price Index หรือ PPI 
PPI จะเป็นตัววัดราคาของสินค้าในมุมมองของการค้าส่ง PPI ที่ไม่รวมพวกอาหารและพลังงานจะเรียกว่า Core PPI ซึ่งจะถูกจับตามองมากกว่า เพราะจะมีผลกับอัตราเงินเฟ้อ เนื่องจาก PPI จะเป็นตัวที่ออกมาก่อน CPI หาก PPI มีค่าสูงมักจะทำให้ CPI มีค่าที่สูงตามไปด้วย และจะนำไปสู่การขึ้นอัตราดอกเบี้ยหรือลดอัตราดอกเบี้ยได้

Personal Income 
เป็น ตัววัดเกี่ยวกับรายได้ (ไม่สนว่าจะได้มาจากไหน เช่นพวก ค่าเช่า, ได้มาจากรัฐ, เงินเดือน, ดอกเบี้ย หรืออื่น ๆ) โดยตัวนี้จะเป็นตัวชี้ถึงความต้องการในการบริโภคในอนาคต (แต่ไม่เสมอไปนะ เพราะบางทีรายได้ที่มากขึ้น แต่คนอาจจะไม่จับจ่ายใช้สอยก็ได้) ตัวเลข Personal Income ที่สูงจะหมายถึงอำนาจในการซื้อและเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าเศรษฐกิจน่าจะดี

Personal Spending 
จะเป็นตัวเลขเกี่ยวกับรายจ่ายของบุคคล การจับจ่ายที่ลดลงจะหมายถึงรายได้ที่ลดลง ซึ่งจะทำให้กระแสเงินโดยรวมลดลง (แต่ก็เช่นเดียวกับ Personal Income บางทีการจ่ายลดลงไม่ได้หมายถึงรายได้ที่ลดลง แต่อาจจะไม่อยากจะจับจ่ายก็เป็นได้) ตัวเลขการจับจ่ายที่มากขึ้น จะเป็นสัญญาณที่บ่งว่าเศรษฐกิจดีขึ้น

Personal Consumption Expenditure หรือ (PCE)
PCE จะบอกถึงการอุปโภคบริโภคของภาคครัวเรือน โดย PCE จะบ่งบอกถึงความสามารถในการจับจ่ายของภาคครัวเรือน โดยตัวเลข PCE ที่สูงจะบ่งบอกถึงเศรษฐกิจที่เติบโต ซึ่งจะทำให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้น

Philadelphia Fed Survey
โดยการสำรวจนี้จะมองมุมกว้างในทิศทางของภาคการผลิต ซึ่งจะมีความสัมพันธ์ร่วมกับ ISM ที่มองเป็นลักษณะของการผลิตเป็นตัว ๆ ไป โดย Philadelphia Fed Survey จะบอกถึงการเปลี่ยนแปลงของยุทธวิธีของผู้ผลิต ประกอบด้วย ชั่วโมงการทำงาน, พนักงาน และอื่น ๆ ซึ่งตัววัดตัวนี้มีความสำคัญมากในระบบเศรษฐกิจ

Pending Home Sales
บ้าน รอการขาย บอกถึงแนวโน้มในตลาดที่อยู่อาศัยสหรัฐ และการตอบสนองในตลาดที่อยู่อาศัยมักจะแสดงสถานะของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ ดีขึ้นได้

Retail Sales
โดยจะวัดจากใบเสร็จของการค้าปลีก ซึ่งโดยปกติจะมองในภาพของสินค้า ซึ่งจะไม่สนใจเรื่องของบริการ และอื่น ๆ (เช่นพวกค่าเบี้ยประกัน หรือค่าทนาย) Retail Sales ที่ไม่รวมการซื้อรถ จะเรียกว่า Core Retail Sales โดยการเปลี่ยนแปลงของตัวเลขการขายจะหมายถึงราคาที่เปลี่ยนแปลงไป ไม่ได้หมายถึงความต้องการซื้อที่ลดลง การที่ตัวเลข Retail Sales มีตัวเลขที่สูงหมายถึงเศรษฐกิจที่ดีและแข็งแกร่ง ซึ่งมีผลทำให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้น

Trade Balance
โดยการประกาศจะบอกให้รู้ถึงทิศทางของการส่งออกและการนำเข้า ซึ่งตัวเลข Trade Balance จะสามารถคาดคะเนตัวเลข GDP ในอนาคตได้ ตัวเลข Trade Balance จะนำค่าตัวเลข Export ลบกับ ตัวเลข Import หากผลที่ออกมามีค่าเป็น + จะหมายถึงเศรษฐกิจที่ดี และมีผลทำให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้นตามไปด้วย

Treasury International Capital System หรือ TICS 
TICS จะรวบรวมข้อมูลของ US เพื่อดูว่าการลงทุนของคน US และ คนต่างชาติเป็นอย่างไรบ้าง โดยหากข้อมูล TICS เป็นตัวเลขที่สูงจะหมายถึงเศรษฐกิจของ US ที่แข็งแกร่ง

University of Michigan Consumer Sentiment Index 
โดย Michigan Index จะเปรียบเทียบระหว่างดัชนีสองตัวคือ สิ่งที่คาดหวัง และ สิ่งที่เป็นไปจริง ๆ ถ้าสิ่งที่คาดหวังไว้และสิ่งที่เป็นจริงมีค่าใกล้เคียงกัน หมายถึงเศรษฐกิจเป็นไปในแนวทางเดียวกับที่หวังไว้ ซึ่งจะทำให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้น 



Credit : เอนจอย แต๊กา..จุ๊ก้า
            
read more...

วันอาทิตย์ที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2558

จิตวิทยาการเทรด

เจอคลิปดีๆ ของคุณ Richard Soutar เลยเก็บมาฝากค่ะ
สำหรับคนที่ไม่มีเวลาฟังคลิปยาวๆ จึง capture ภาพมาให้ตามนี้ค่ะ


นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่จะเป็นนักแก้ปัญหาที่เก่ง
เมื่อผิดทางจะแก้ด้วยวิธีไหน ต้องเตรียมแผนไว้ก่อน เมื่อเผชิญปัญหาจะได้แก้ไขได้อย่างถูกทาง อย่าปล่อยเลยตามเลย จะคัทหรือจะเฮดจ์ต้องทำก่อนที่จะสายเกินแก้


จงเชื่อในทักษะและสัณชาติญาณของตนเอง  ข้อนี้สำคัญเพราะนางฟ้าในตัวคุณจะบอกกับคุณว่าผิดทางแล้วควรคัท อย่าฝืน


เป็นซามูไร แต่ไม่ใช่ว่ายอมตายในสนามรบ (ล้างพอร์ท) ซามูไรคือนักรบที่มีไหวพริบที่ดี รู้จังหวะ รู้เทคนิค ที่สำคัญสมาธิยอดเยี่ยม สายตาจึงแหลมคม ไม่หวั่นไหวง่ายๆ








คงความสงบเวลาเทรด สมาธิต้องนิ่ง ใจต้องสงบ เชื่อมั่นในแผนที่วางไว้ ไหวพริบต้องดี เมื่อมีลางบอกเหตุว่าผิดทางแล้ว ต้องคัท ไม่ใช่ข่มใจให้สงบและรอเวลาว่าไม่เป็นไรเดี๋ยวก็กลับมาบวก นางฟ้าในตัวคุณจะกระซิบข้างหูคุณเสมอ จงฟัง อย่าดื้อ

Cr. clip Richard Soutar

read more...

วันเสาร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2558

การเทรดโดยใช้ Divergence

การเทรดโดยใช้ Divergence 

ก่อนอื่นขอออกตัวก่อนว่าไม่ใช่กูรู ไม่ใช่คนเก่งอะไร แค่อยากแชร์ความรู้ให้เพื่อนๆ ที่ยังไม่เข้าใจศัพท์เทคนิคเบื้องต้นได้พอเข้าใจบ้างเท่านั้น เนื่องจากแต่ก่อนบีเองก็งง เวลามีคนมาพูดศัพท์เทคนิค ฟังดูไม่รู้เรื่อง แล้วมันหมายถึงอะไรล่ะ ฉ้านแค่อยากรู้ว่าต่อจากนี้ราคาจะขึ้นหรือลง ขึ้นๆเท่าไร ลงๆเท่าไร แค่นั้น อะไรคือไดเวอร์เจ้นท์ อะไรคือ lower low , higher high ได้ยินแล้วปวดหัวค่ะ ยิ่งใช้ตัวย่อ LL HL HH ยิ่งงงกันใหญ่

แต่อยากบอกว่าจำเป็นค่ะที่จะต้องเรียนรู้ศัพท์เหล่านี้เพื่อที่จะได้ไปอ่านตำราของกูรูทั้งหลายได้เข้าใจ แต่ถ้าไม่อยากอ่านตำราเพื่อต่อยอดความรู้ ก็แค่เรียนรู้ว่า เมื่อราคาเกิดพฤติกรรมแบบนี้แล้ว ทิศทางต่อไปจะเป็นเช่นไรก็พอค่ะ


Divergence คือ ความขัดแย้งของราคากับอินดิเคเตอร์ ซึ่งก็คือ ทั้งสองอย่างไปคนละทางกัน
เราลากเส้นจากยอดคลื่นหนึ่งของราคาไปหาอีกยอดคลื่นหนึ่งของราคา และทำแบบเดียวกันนี้กับอินดิเคเตอร์ที่เราใช้ เช่น RSI แล้วดูว่า ทั้งสองอย่างไปในทิศทางเดียวกันหรือไม่ ถ้าอย่างหนึ่งเฉียงขึ้นอีกอย่างเฉียงลง แสดงว่าเกิด Divergence ขึ้นแล้ว

ส่วนจะเป็น Divergence แบบไหน ก็ลองอ่านดูจากบทความนี้นะคะ เพราะชนิดของ Divergence จะบอกเราว่าทิศทางต่อไปของราคาจะไปทางไหน

http://born2beegold.blogspot.com/2013/10/divergence.html

การเกิด Divergence บอกเราว่าราคากำลังจะเปลี่ยนทิศทาง จากขึ้นเป็นลง จากลงเป็นขึ้น
ลองดูตัวอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้


จุดที่ 1 สีฟ้าเข้ม

จะเห็นว่า ราคาทำ lower low (LL) คือราคาต่ำลงจากยอดก่อนหน้า แต่อินดิเคเตอร์ในที่นี่ใช้ RSI(5) ทำ Higher low (HL) คือ ก้นคลื่นยกสูงขึ้น แสดงให้เห็นว่าเกิด Bullish Divergence ขึ้น ต่อจากนี้ราคาจะเปลี่ยนทิศจากลงเป็นขึ้น ดูจากกราฟข้างบน ราคาทองรีบาวน์ขึ้นไปจริงๆ

จุดที่ 2 สีบานเย็น

หลังจากราคารีบาวน์ขึ้นไปถึงระดับหนึ่ง ราคาทำ Lower High (LH) คือ ราคาสูงขึ้นแต่ยังต่ำกว่ายอดก่อนหน้า ส่วนอินดิเคเตอร์ทำ Higher High (HH) คือ ยอดสูงขึ้นเรื่อยๆ และสูงกว่ายอดก่อนหน้า ทำให้เกิด  Hidden Bearish Divergence ทิศทางของราคาจะต้องเปลี่ยนจากขึ้นเป็นลง สังเกตุจากกราฟข้างบนนะคะ ราคาทองย่อตัวลงมาจริง

ที่ตำแหน่งที่ 2 นี้ เกิด Hidden Bearish Divergence ซ้ำๆ ถึง 3 ครั้ง ตอกย้ำว่าราคาต้องลงแน่นอน (ตามความเข้าใจส่วนตัวนะคะ) แต่ทำไมย่อนิดเดียวเอง ต่อจากนี้คือการบ่น ข้ามไปจุดที่ 3 เลยก็ได้ค่ะ

บนความเป็นจริงที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ ราคาวิ่งอยู่ในช่วง 1258 - 1266 แค่นี้ตั้งแต่เช้ายันค่ำ (ตามที่วงกลมไว้) แต่พอท้ายตลาดยุโรป เริ่มต้นเข้าตลาดอเมริกา ราคาย่อมาถึง 1258 แล้วเกิดไดเวอร์เจ้นท์ขึ้นตามจุดที่ 3 หลังจากนั้น ราคาวิ่งเป็นกระทิงบ้าเลย ใครยอก็ไม่หยุด หุหุ ทั้งๆที่ เกิด  Hidden Bearish Divergence ซ้ำๆ ถึง 3 ครั้ง อะไรทำให้ราคาย่อนิดเดียว แต่วิ่งขึ้นเสียไกลขนาดนั้น น้องกันมาพี่ยูโรกำลังจะไปสัมผัสมือกันปุ๊บ ราคาดีดพุ่งซะแรงเลย ข่าวเศรษฐกิจอเมริกาออกมาน้อยกว่าคาด 2 ตัว ถึงแม้จะเป็นเรื่องของ GDP ก็เถอะ แค่นี้ไม่น่าทำให้ราคาวิ่งได้ขนาดนี้นะ ตามความคิดของบี เพราะเศรษฐกิจอเมริกาดีมาตลอด หรือจะเป็นคนที่คุณก็รู้ว่าใครชักนำตลาดได้แบบนี้ ^^

กระโดดขึ้นรถแทบไม่ทัน แต่ตอนนี้ลงจากรถแล้วนะคะ กลัวค่ะ เพราะอะไรอ่านได้จากจุดที่ 4

จุดที่ 3 สีฟ้าอ่อน

หลังจากราคาย่อตัวลงมาเพราะเกิด Hidden Bearish Divergence ตามจุดที่ 2 แล้ว ก็เกิดความขัดแย้งของราคาอีกรอบหนึ่ง คือ ราคาทำ Higher low (HL) แต่อินดิเคเตอร์ทำ Lower low(LL) ทำให้เกิด
Hidden Bullish Divergence ดังนั้นราคาจึงเปลี่ยนทิศจากลงเป็นขึ้น

จุดที่ 4 สีแดง

มาถึงจุดปัจจุบันที่ตลาดปิดแล้วนะคะ ตอนนี้จะเห็นว่า ราคาทำ Lower high (LH) แต่อินดิเคเตอร์ทำ Higher high (HH) เกิด Hidden Bearish Divergence ขึ้นอีกรอบเหมือนจุดที่ 2 ราคาต่อจากนี้ควรไปทิศทางไหน ลองสังเกตุดูนะคะ


หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์ต่อเพื่อนๆ ที่เริ่มต้นศึกษานะคะ

read more...

วันเสาร์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

เทคนิคการควบคุมอารมณ์ในการเทรด

ก่อนเดากราฟ เอาเทคนิคการควบคุมอารมณ์ตอนเทรดมาให้อ่านกันก่อนค่ะ
บีคิดว่าดีนะคะ โดยเฉพาะการ์ตูนเค้าถามว่า มีเทคนิคควบคุมอารมณ์เซ็งด้วยมะ คริคริ


เครดิต : เพจเหวี่ยงหุ้น

read more...

วันเสาร์ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2557

Manipulation ด้านมืดของตลาดทองคำ

วันนี้ไปค้นเจอบทความดีๆ ที่เคยเก็บไว้ จำไม่ได้แล้วว่าอ่านมาจากไหน ต้องขอโทษแหล่งที่มาด้วยค่ะ แต่เห็นว่าเป็นบทความที่ดีมาก เลยเอามาลงให้เพื่อนๆ ได้อ่านกันในวันหยุด

Manipulation ด้านมืดของตลาดทองคำ

ในเช้าวันที่สดใส คุณตื่นขึ้นมาบิดขี้เกียจแล้วลุกจากที่นอนไปดูหน้าจอ ตกใจกับราคาที่เห็น [น่าซื้ออะไรขนาดนี้] คุณมองดู chart ที่เต็มไปด้วยตัวชี้วัดทางเทคนิคมากมาย ทุกตัวบอกว่า oversold เข้าเขตขายมากไปแล้ว และมันกำลังโน้มน้าวให้คุณเชื่อว่า นี่มันโอกาสเข้าซื้อชัดๆ คุณเคาะซื้อทันทีอย่างสุดมั่นใจจนไม่ได้คิดจะตั้ง stop loss ราคาคงที่อยู่สักสองสามนาทีและคุณกำไรแล้ว 5 เหรียญ หรือมากกว่านั้น คุณมีความสุขสุดๆ แต่ยังรู้สึกว่ามันน่าจะขึ้นไปต่ออีกนะ หลังราคาคงตัว คุณเดินเข้าห้องน้ำไปล้างหน้าล้างตาอย่างแสนสดชื่น พอกลับมาดูหน้าจออีกที อะไรกันนี่ ขาดทุนไป 10 เหรียญแล้ว คุณโกรธแทบจะขว้างจอทิ้ง รีบเช็คข่าว แต่ไม่มี..ไม่มีข่าวอะไรเลย คุณรีบเช็คข่าวรอยเตอร์ หาข่าวอะไรก็ตามเกี่ยวกับที่ราคาร่วงลงมา สิ่งที่คุณเจอก็คือ มันเป็นการเทขายทำกำไร หรือ ราคาถึง stop loss พอดี คุณเริ่มคิดว่าใครนะที่เอากำไรไปจากคุณ และที่สำคัญก็คือ มันเกิดขึ้นได้ยังไง!! เบื้องหลังของเรื่องทั้งหมดนี้ก็คือ "การควบคุมตลาด"

อะไรคือการควบคุมตลาดที่ว่า

ถ้าพระเจ้าได้สร้างโลก และใครบางคนสร้างตลาดเหล่านี้ เขาย่อมไม่ได้สร้างให้คนทุกคนได้กำไร กำไรย่อมต้องเป็นของเขา คนสร้างตลาดนี่แหละคือเจ้ามือควบคุมตลาด นอกจากนี้ เขายังมีทีมงานที่คอยช่วยให้ราคาในตลาดเป็นไปตามที่ต้องการ อาจเพื่อกำไรของใครสักคน หรือเหตุผลใดก็สุดรู้

แล้วใครล่ะเป็นเจ้ามือที่ว่า

เจ้ามือก็คือคนสร้างตลาดนั่นแหละ ถ้าถามแหล่งข่าวว่าที่มาที่ไปของเรื่องพวกนี้จากประเทศไหนบ้าง ก็ อเมริกา อิสราเอล (พวกชนชั้นผู้บริหารประเทศ) รัสเซีย ในเอเชียก็มี จีน อินเดีย และอีกหลายประเทศที่เราไม่รู้ คนเหล่านี้ทำงานลับสุดยอดที่ว่าอยู่ในอเมริกา แหล่งข่าวกล่าวว่า รัฐบาลอเมริกา เฟด และธนาคารกลางของประเทศดังกล่าวเองก็เป็นพวกนี้เหมือนกัน เพราะเขาสามารถเข้าถึงอุปสงค์และอุปทานในสกุลเงินและโลหะมีค่าเหล่านี้ได้ ตัวการสำคัญก็คือรัฐบาลสหรัฐและอิสราเอล

เขาทำมันอย่างไร

มันมีองค์กรพิเศษที่มีคนเป็นพันนั่งอยู่หน้าจอ โชว์จำนวนคนซื้อและคนขายทั้งหมด ถ้าคนซื้อมีมากกว่า 70% และคนขายมีน้อยกว่า 30% องค์กรนี้ก็จะใช้เทคนิคเข้าตบแต่งตลาด ซึ่งเราไม่ทราบว่าเขาใช้เทคนิคอะไร (ซึ่งไม่ใช่การซื้อขาย) เข้าจัดการ แต่เขามีเป้าหมายอยู่ว่าจะลงมือเมื่อไหร่ และที่ราคาไหน เขาไม่ได้ควบคุมเฉพาะฝ่ายใดโดยเฉพาะ แต่จัดการทั้งฝ่ายซื้อและฝ่ายขายเลย ถ้าตลาดมีการขาย short ออกมามาก ราคาก็จะถูกลากขึ้นและทำในทางกลับกันกับอีกด้านหนึ่ง โดยมากก็ลากลงซะมากกว่าขึ้น ส่วนใหญ่คนคิดว่าเจ้ามือก็คือ market maker ซึ่งพวกนี้ชักจูงตลาดโดยใช้เทคนิคทางกายภาพเข้าซื้อขาย แต่ก็ทำได้ไม่มากนักเมื่อเทียบกับองค์กรเจ้ามือนี้ กับดักขาขึ้นหรือ bull trap และ กับดักขาลงหรือ bear trap ก็เป็นฝีมือขององค์กรเจ้ามือนี้นั่นเอง

เขาทำมันไปเพื่ออะไร มีใครเกี่ยวข้องบ้าง

เงินที่ผู้คนได้มาและเสียไปอยู่ในตลาด ท้ายที่สุดก็กลับไปอยู่ที่ธนาคารกลาง ซึ่งจริงๆแล้วไม่ได้มีหน้าที่ผลิตเงินให้เราใช้แต่มีหน้าที่ในการปั่นตลาด เงินที่ได้มาถูกแบ่งกันอยู่ระหว่างธนาคารที่เป็นสมาชิก เจ้าหน้าที่ระดับล่างสุดที่มีเอี่ยวกับเรื่องนี้ก็คือพวก broker และนักเขียนบทความทั้งหลาย พวกเขาถูกสั่งให้แจ้งข้อมูลเท็จกับลูกค้าให้ long ถ้ามีลูกค้าหน้าใหม่มาเป็นเหยื่อก็จะได้รับคำแนะนำดีๆสักครั้งสองครั้งก่อน หลังจากนั้นก็ได้แต่คำแนะนำที่เชื่อไม่ได้ พวกนักเขียนบทความวิเคราะห์ตามหนังสือพิมพ์หรือ web site บางแห่งก็เป็นหนึ่งในพวกนี้ด้วย คนเหล่านี้ตีพิมพ์บทความอันเป็นเท็จโดยเฉพาะเวลาตลาดเข้าใกล้จุดสูงสุด
.................................................................
ข้อความต้นฉบับที่เป็นภาษาอังกฤษอยู่ด้านล่างค่ะ คลิกที่คำว่า "อ่านเพิ่มเติม >>"

read more...

วันอังคารที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2557

กฏเทคนิคการเทรด 10 ประการของ John Murphy

  1. ค้นหาแนวโน้ม (Map the Trends)
  2. ค้นหาแนวโน้มและไปกับมัน (Spot the Trend and Go With It )
  3. ค้นหาจุดต่ำและสูงของมัน (Find the Low and High of It)
  4. รู้ว่าราคาย้อนลงมาไกลแค่ไหน (Know How Far to Backtrack)
  5. วาดเส้นแนวโน้ม (Draw the Line)
  6. เทรดตามเส้นค่าเฉลี่ย (Follow that Average)
  7. เรียนรู้จุดเปลี่ยน (Learn the Turns)
  8. รู้สัญญาณเตือน (Know the Warning Signs)
  9. ดูว่ามีหรือไม่มีแนวโน้ม (Trend or Not a Trend)
  10. รู้สัญญาณยืนยัน  (Know the Confirming Signs)
read more...

วันอาทิตย์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

กฎ 10 ข้อของ วอร์เรน บัฟเฟตต์

  1. ต้องทำงานหนัก สำหรับวอร์เรนแล้ว เขาฟันธงเลยว่า ส่วนใหญ่แล้วการทำงานหนักจะนำผลกำไรมาให้ ในขณะที่การพูดมากแต่ไม่ทำ กลับจะนำความยากจนมาให้แทน แบบนี้เข้าตำราว่า “อย่ามัวแต่ตั้งท่าชก ให้ชกเลย” จึงจะได้คะแนนชนะการต่อสู้
  2. อย่าขี้เกียจ เขาได้ยกตัวอย่างที่น่าสนใจมาก ว่า “ขนาดกุ้งมังกรตัวโต ๆ ถ้ามัว แต่นอนหลับ ยังสามารถถูกกระแสน้ำพัดลอยไปได้” หมายความว่าถ้าคุณไม่ทำอะไรเลย มัวแต่รอคอยความหวัง คุณจะต้องตกอยู่ในวังวนวิกฤตการณ์ทางการเงินนี้ต่อไปอย่างแน่นอน 
  3. รายรับจากหลายแหล่ง ข้อนี้เป็นเคล็ดลับของมหาเศรษฐีหลายคน ไม่ใช่เฉพาะวอร์เรน เพราะการหวังพึ่งรายได้จากแหล่งเดียว ทำให้ต้องตกอยู่ในความเสี่ยงของภาวะที่ไม่แน่นอน เขาแนะนำ ให้ทำการลงทุนที่ฉลาด เพื่อสร้างรายได้เพิ่ม เช่น ถ้าคุณเป็นมนุษย์เงินเดือน คุณควรมีรายได้ส่วนอื่นจากการลงทุนในรูปแบบอื่น ๆ ที่สามารถสร้างรายรับเข้ามา ในแต่ละเดือนได้ด้วย 
  4. ควบคุมรายจ่าย เมื่อไหร่ ที่คุณเริ่มจ่ายเงินซื้อ สิ่งที่คุณไม่มีความต้องการจริง ๆ คุณก็กำลังตกอยู่ในความเสี่ยง ที่อาจต้องขายสิ่งที่คุณต้องการมากที่สุดแทน ดังนั้น คิดและตั้งสติก่อน ที่จะจ่ายเงินซื้ออะไรในชีวิตเสมอ 
  5. ตั้งใจออม วอร์เรนเน้นว่าเราอย่ารอเก็บออมเงินที่เหลือหลังจากที่ได้ใช้จ่ายจนพอใจ แต่เราต้องกันเงินส่วนหนึ่งของรายได้มาเพื่อเก็บสะสมก่อน แล้วจึงนำส่วนที่เหลือไปใช้จ่าย หลายคนมักจะเข้าใจผิด ใช้จ่ายแล้วเหลือจึงนำเข้าแบงก์ ที่จริงต้องนำออกมาออม ก่อนจะไปทำอย่างอื่น 
  6. งดกู้ยืม คนที่กู้หนี้ยืมสินจากคนอื่น มักจะตกเป็นทาสของคนที่คุณไปกู้ยืม ดังนั้นต้องยึด หลักเศรษฐกิจพอเพียง พยายามมี ชีวิตอยู่ตามอัตภาพเท่าที่เราหามาได้ อย่าไปสร้างหนี้ สร้างสิน โดยไม่จำเป็น พยายามดำรงชีวิตอยู่ตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงของพระเจ้าอยู่หัว 
  7. จัดระบบบัญชี เขาใช้คำคมมาเปรียบเทียบว่า “ไม่มีประโยชน์ที่จะถือร่มกันฝนตราบใด ที่รองเท้าที่คุณสวมใส่นั้นยังมีรูอยู่ เพราะมันทำให้เปียกเหมือนกัน” นั่นคือต้องอย่าทำให้มี จุดรั่วไหลของบัญชี 
  8. หมั่นตรวจสอบ วอร์เร็นให้ความสำคัญกับการตรวจสอบมาก เพราะว่าค่าใช้จ่ายเล็ก ๆ น้อย ๆ จะเปรียบเสมือนรูรั่วของเรือ รูรั่วเพียงเล็ก ๆ แต่นานไปก็สามารถจมเรือใหญ่ทั้งลำได้ ดังนั้นอย่ามองข้ามค่าใช้จ่ายเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้ ต้องให้ความสำคัญกับค่าใช้จ่ายทุกชนิดเสมอ 
  9. จัดการความเสี่ยง ความเสี่ยงเป็นสิ่งที่นักธุรกิจไม่สามารถจะหลีกเลี่ยงได้ ตราบเท่า ที่ยังโลดแล่นอยู่ในธุรกิจ เขากล่าวว่าเราไม่ควรจะทดสอบความลึกของแม่น้ำที่จะข้าม ด้วยขาสองข้างพร้อม ๆ กัน เพราะเราอาจจมน้ำตายได้ ในการจัดการความเสี่ยงเราต้องมีแผนสำรองเสมอ ไม่มีใครสามารถทำนายอนาคตได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่เราต้องบริหารความเสี่ยงที่กำลังเผชิญอยู่อย่างชาญฉลาดที่สุด 
  10. บริหารการลงทุน อย่าเอาเงินทั้งหมดไปทุ่มลงทุนในสิ่งเดียวกัน เปรียบเหมือนกับ อย่าวางไข่ทั้งหมดไว้ในตะกร้าเดียวกัน เพราะถ้า ตะกร้าหล่น จะทำให้ไข่แตกหมดทุกใบ ดังนั้น เราต้องกระจายความเสี่ยง เพราะธุรกิจหนึ่ง อาจจะอยู่ในช่วงขาลง แต่อีกธุรกิจหนึ่งอาจจะอยู่ในขาขึ้น ทำให้ผลประโยชน์โดยรวมยังอยู่ได้
read more...
 
Copyright © 2014 อ่านกราฟทองสไตล์ Born2Bee • All Rights Reserved.
Template Design by BTDesigner • Powered by Blogger
back to top